สมัยกรุงธนบุรี
แผ่นดินอยุธยาต้องพินาศสิ้นเพราะน้ำมือพม่าใน
ปี พ.ศ. ๒๓๑๐
สมเด็จพระเจ้าตากสินครองกรุงธนบุรีปกครองแผ่นดินสยามสืบมา เมืองขุขันธ์ก็ยังขึ้นอยู่กับกรุงธนบุรีเป็นปกติ
ชาวขุขันธ์เข้าร่วมราชการสงครามในศึกลานช้าง
สาเหตุเกิดจากพระวอ
พระตา ซึ่งเดิมเป็นเสนาบดีของกรุงศรีสัตนาคนหุต (เวียงจันทน์)
แต่มีเหตุบาดหมางกันขึ้นกับเจ้ากรุงศรีสัตนาคนหุต
จึงได้พาครอบครัวบ่าวไพร่หนีมาอยู่ที่เมืองลุ่มภู
แล้วตกแต่งบ้านเมืองจัดสร้างค่ายคูประตูหอรบให้มั่งคงแข็งแรง ขนานนามเมืองใหม่ว่า "เมืองนครเขื่อนขันธ์กาบแก้วบัวบาน" เจ้ากรุงศรีสัตนาคนหุตได้ข่าวและถือว่า
พระวอ พระตา เป็นเสี้ยนหนามแผ่นดิน จึงได้แต่งกองทัพยกมาตีอยู่ ๓ แต่กำลังของพระวอ
พระตา มีน้อยจึงสู้ไม่ได้ พระตาได้สิ้นชีพในที่รบ พระวอกับพวกได้ตีฝ่าวงล้อมไปได้
แล้วไปขอพึ่งพระเจ้าองค์หลวงแห่งเมืองนครจำปาศักดิ์ (เจ้าไชยกุมาร)
โดยไปตั้งมั่นอยู่ที่เวียงดอนกอง
เจ้ากรุงศรีสัตนาคนหุตได้แต่งกองทัพติดตามไป
แต่เจ้าไชยกุมารได้ไกล่เกลี่ยไว้จึงทำให้การศึกยุติลงชั่วระยะเวลาหนึ่ง
อยู่ต่อมาประมาณ ๓ ปี
เจ้าเมืองจำปาศักดิ์กับพระวอเกิดขัดใจและเป็นอริกันขึ้นพระวอจึงแต่งให้ท้าวเพี้ยถือศุภอักษรคุมเครื่องราชบรรณาการไปยังนครราชสีมา
และขอขึ้นกับกรุงธนบุรีสืบไป
ฝ่ายพระเจ้ากรุงศรีสัตนาคนหุตทราบข่าวว่า
พระวอเป็นอริกับเจ้านครจำปาศักดิ์ เห็นเป็นโอกาสที่จะกำจัดพระวอได้
จึงแต่งให้พระยาสุโพเป็นแม่ทัพยกมาตีพระวอเมื่อจุลศักราช ๑๑๓๙ (พ.ศ. ๒๓๒๐) กองทัพพระวอสู้ไม่ได้จึงแตกทัพหนีไป
กองทัพเวียงจันทน์ตามไปล้อมจับพระวอได้ที่บ้านสักเมืองสมอเลียบ
ริมฝั่งแม่น้ำโขงเหนือเมืองเก่า (ตรงกันข้ามปากเซ) ขึ้นมาเล็กน้อยและได้ฆ่าเสีย
ฝ่ายท้าวก่ำบุตรพระวอ
ท้าวฝ่ายหน้า ท้าวคำผง ท้าวทิดพรหมบุตรพระตาหนีไปได้ จึงแต่งให้คนถือหนังสือบอกไปยังเมืองนครราชสีมา
ให้นำความกราบบังคมทูลพระเจ้ากรุงธนบุรีเพื่อทรงทราบ
มรณกรรมของพระวอนับเป็นเหตุการณ์ที่สำคัญของประวัติหัวเมืองมณฑลอีสานและประวัติศาสตร์ไทยมาก
โดยทางกรุงธนบุรีถือว่า
เหตุการณ์ครั้งนั้นกรุงศรีสัตนาคนหุตกระทำการดูหมิ่นพระบรมเดชานุภาพบังอาจยกทัพมารังแกไพร่ฟ้าข้าแผ่นดินในขอบขันธสีมา
ครั้นจุลศักราช
๑๑๔๐ (พ.ศ. ๒๓๒๑) สมเด็จพระเจ้ากรุงธนบุรีจึงโปรดเกล้าฯ
ให้สมเด็จเจ้าพระยามหากษัตริย์ศึกเป็นแม่ทัพยกไปทางบกสมทบกับกำลังเกณฑ์ไพร่พลจากเมืองสุรินทร์
เมือง ขุขันธ์ เมืองสังขะ และโปรดเกล้าฯ
ให้กรมพระราชวังบวรสถานมงคลมหาสุรสิงหนาทแต่ครั้งดำรง
พระยศเป็นเจ้าพระยาสุรสีห์
เป็นแม่ทัพยกไปทางกัมพูชาเกณฑ์พลเมืองเขมรต่อเรือรบยกขึ้นไปตามลำน้ำโขง
กองทัพพระยาสุโพรู้ข่าวก็ถอยกลับไปยังกรุงศรีสัตนาคนหุต
กองทัพไทยยกขึ้นไปตีได้เมืองนคร-จำปาศักดิ์ พระเจ้าองค์หลวง
(ไชยกุมาร) พาครอบครัวไปตั้งอยู่ที่เกาะไชยกองทัพไทยตามไปจับตัวได้
ต่อจากนั้นกองทัพไทยก็เลยยกไปตีเมืองนครพนมแล้วยกไปล้อมเมืองเวียงจันทร์ไว้
พระเจ้ากรุงศรีสัตนาคนหุตได้หนีไปอยู่ที่เมืองคำเกิด
กองทัพไทยตีได้เมืองเวียงจันทน์แล้วตั้งให้พระยาสุโพเป็นผู้รั้งเมืองเวียงจันทน์
การศึกครั้งนี้เป็นผลทำให้กรุงศรีสัตนาคนหุตและนครจำปาศักดิ์
ตกมาเป็นประเทศราชของไทยตั้งแต่นั้นมา
และกองทัพไทยได้อัญเชิญพระแก้วมรกตลงมายังกรุงธนบุรีด้วย
ซึ่งปัจจุบันได้ประดิษฐานอยู่ที่อยู่ที่วัดพระศรีรัตนศาสดาราม
เป็นพระพุทธรูปคู่บ้านคู่เมืองของไทยอยู่จนบัดนี้
ในการไปราชการทัพครั้งนี้
หลวงปราบ (เชียงขัน) ได้เป็นทหารเอกร่วมไปในกองทัพด้วย
ทำศึกจนได้ชัยชนะ ขากลับเมืองขุขันธ์หลวงปราบ (เชียงขัน)
ได้หญิงม่ายชาวลาวคนหนึ่งกลับมาเป็นภรรยามีลูกชายติดมาด้วยชื่อท้าวบุญจันทร์
สมเด็จพระเจ้ากรุงธนบุรีทรงเห็นความดีความชอบของเจ้าเมืองทั้งสามที่ช่วยราชการทัพในการตีเมืองนครจำปาศักดิ์
และเมืองเวียงจันทน์ได้สำเร็จ จึงทรงพระกรุณาโปรดเกล้าฯ ให้เจ้าเมืองขุขันธ์
เจ้าเมืองสุรินทร์ และเจ้าเมืองสังขะ
เลื่อนขึ้นเป็นตำแหน่งพระยาในบรรดาศักดิ์เดิมทั้งสามเมือง
ในปีเดียวกันนี้
(พ.ศ. ๒๓๒๑) พระยาขุขันธ์ (ตากะจะ) ถึงแก่กรรม
จึงโปรดเกล้าฯ ให้หลวงปราบ (เชียงขัน) เป็นพระยาไกรภักดีศรีนครลำดวน
เจ้าเมืองคนที่ ๒ และในปีนั้นเองเจ้าเมืองขุขันธ์คนใหม่
ได้อพยพพลเมืองย้ายเมืองมาอยู่ที่บ้านแตระ (อำเภอขุขันธ์
ในปัจจุบัน) เพราะเมืองขุขันธ์เดิม (บ้านปราสาทสี่เหลี่ยมดงลำดวน)
กันดารน้ำ
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น