สมัยกรุงศรีอยุธยา
ชนชาติลาวซึ่งอยู่ทางเหนือ
ได้แก่ เมืองศรีสัตนาคนหุต (เวียงจันทน์) ได้อพยพเคลื่อนย้ายเข้าไปตั้งถิ่นฐานแย่งที่ทำกินของพวกข่า
ส่วย กวย ซึ่งตั้งหลักแหล่งอาศัยทำมาหากินอยู่ตามป่าดง แขวงเมืองอัตบือแสนแป
ฝั่งซ้ายแม่น้ำโขง ประเทศลาวปัจจุบัน๑
ชาวลาวมีสติปัญญาดีกว่าเพราะเป็นชาวเมือง
มีภาษาขนบธรรมเนียมประเพณีและวัฒนธรรมดีกว่าจึงมีความเจริญก้าวหน้า
ลาวได้สร้างบ้าน
แปงเมืองและยกหัวหน้าขึ้นเป็นผู้ปกครองเมืองเป็นปึกแผ่นแน่นหนาจนรุ่งเรือง
และสถาปนาขึ้นเป็นนครจำปาศักดิ์
เมื่อพวกส่วยถูกชาวลาวเข้ามารุกรานแย่งที่ทำกิน
จึงได้รวบรวมสมัครพรรคพวกไปหาที่ทำกินแห่งใหม่ ในราว พ.ศ.๒๒๒๐
ได้มีพวกส่วยหลายกลุ่มอพยพลงมาทางตะวันตกเฉียงใต้ข้ามแม่น้ำโขงเข้ามายังประเทศไทย๒
สู่ดินแดนอีสานตอนใต้ซึ่งยังรกร้างว่างเปล่าอยู่มาก
ชาวไทยเจ้าของถิ่นในขณะนั้นเสื่อมอำนาจ๓
เนื่องจากขอมซึ่งตั้งราชธานีอยู่ที่เมืองพิมาย (อำเภอพิมาย
จังหวัดนครราชสีมา) ได้ยกทัพมารบกวน
ทำให้คนไทยต้องถอยร่นไปอยู่ที่อื่น พวกส่วยเหล่านี้จึงตั้งเป็นชุมนุมต่างๆ
อาศัยดินแดนแถบนี้ทำไร่นาหาของป่าเลี้ยงชีพสืบกันต่อมาด้วยความเป็นสุข
บรรดาชาวส่วยที่อพยพเข้ามาเหล่านี้ได้แบ่งออกเป็นหลายกลุ่มด้วยกัน
เท่าที่ทราบมีดังนี้๔
กลุ่มที่ ๑
หัวหน้าชื่อเชียงปุ่ม ตั้งหลักแหล่งที่บ้านเมืองทรี (ปัจจุบันคือเมืองที จังหวัดสุรินทร์)
กลุ่มที่ ๒
หัวหน้าชื่อเชียงสี ตั้งหลักแหล่งอยู่ที่บ้านหนองกุดหวาย (ท้องที่อำเภอรัตนบุรีจังหวัดสุรินทร์)
กลุ่มที่ ๓
หัวหน้าชื่อเชียงสง ตั้งหลักแหล่งที่อยู่ที่บ้านเมืองลิง (ปัจจุบันคืออำเภอจอมพระจังหวัดสุรินทร์)
กลุ่มที่ ๔
หัวหน้าชื่อเชียงขัน ตั้งหลักแหล่งอยู่ที่บ้านปราสาทสี่เหลื่ยมดงลำดวน (ปัจจุบัน คือ บ้านดวนใหญ่ ตำลบดวนใหญ่ อำเภอเมืองศรีสะเกษ จังหวัดศรีสะเกษ)
กลุ่มที่ ๕
หัวหน้าชื่อเชียงฆะ ตั้งหลักแหล่งอยู่ที่บ้านอัจจะปะนึ่ง (ปัจจุบันคือบ้านสังขะ อำเภอสังขะ จังหวัดสุรินทร์
กลุ่มที่ ๖
หัวหน้าชื่อเชียงชัย ตั้งหลักแหล่งอยู่ที่บ้านจารพัด (ปัจจุบันคืออำเภอศรีขรภูมิ จังหวัดสุรินทร์)
การติดตามช้างเผือกและกำเนิดเมืองขุขันธ์
เมื่อ พ.ศ. ๒๓๐๒๕ในแผ่นดินของสมเด็จพระบรมราชาที่
๓ หรือสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว พระที่นั่งสุริยามรินทร์ (พระเจ้าเอกทัศน์)
ช้างเผือกของพระองค์ได้แตกออกจากโรงช้างต้นในกรุงศรีอยุธยา
แล้วเดินทางมาทางทิศตะวันออกเฉียงเหนือ
พระเจ้าอยู่หัวจึงมีพระราชดำรัสให้ทหารเอกคู่พระทัยสองพี่น้อง คือ
สมเด็จเจ้าพระยามหากษัตริย์ศึก พระนามเดิมทองด้วง กับกรมพระราชวังบวรมหาสุรสิงหนาท
พระนามเดิมบุญมา ให้คุมไพร่พลและทหารกรมช้างต้น ๓๐ นายออกติดตาม
ได้ติดตามพญาช้างเผือกมาทางแขวงเมืองพิมาย ผ่านมาจนถึงบริเวณป่าดงดิบทางฝั่งทิศใต้ลำน้ำมูลจึงได้ข่าวจากพวกชาวป่าว่า
พญาช้างเผือกผ่านมาทางบ้านหนองกุดหวาย (อำเภอรัตนบุรี) นายทหารเอกสองพี่น้องจึงได้เข้าไปหาเชียงสีหัวหน้าบ้านหนองกุดหวายเพื่อให้เชียงสีช่วยพาไปหาหัวหน้าบ้านต่อ
ๆ ไป
เชียงสีได้พาไปหาเชียงปุ่มที่บ้านเมืองทรี
(เมืองที) เชียงชัยที่บ้านจารพัด (ศีขรภูมิ) ไปหาตากะจะและเชียงขันที่บ้านปราสาทที่เหลี่ยมดงลำดวน
(บ้านดวนใหญ่) แล้วยกต่อไปหาเชียงฆะที่บ้านอัจจะปะนึง
(สังขะ) เชียงฆะแจ้งให้ทราบว่า
เห็นช้างเผือกกับโขลงช้างป่ามาเล่นน้ำที่หนองโชก
ครั้นวันรุ่งขึ้นนายทหารสองพี่น้องกับพวกหัวหน้าส่วยจึงขึ้นไปแอบอยู่บนต้นไม้ริมหนองโชกพอตะวันบ่ายประมาณ
๒ โมง โขลงช้างก็ออกจากป่ามาเล่นน้ำ
พญาช้างเผือกเดินอยู่กลางโขลงมีช้างป่าล้อมหน้าล้อมหลัง
นายทหารสองพี่น้องจึงนำเอาก้อนอิฐ ๘
ก้อนที่นำมาจากเมืองทรีขึ้นเสกเวทย์มนต์คาถาอธิษฐานแล้วขว้างไปยังโขลงช้างป่าทั้งแปดทิศ
ช้างป่าแตกหนีเข้าป่าหมดเหลือแต่พญาช้างเผือก
นายทหารสองพี่น้องจึงนำพญาช้างเผือกกลับกรุงศรีอยุธยาพร้อมกับพวกทหารและหัวหน้าชาวส่วย
ที่ช่วยติดตามช้าง
เมื่อถึงกรุงศรีอยุธยาแล้วนายทหารทั้งสองได้กราบบังคมทูลให้ทรงทราบถึงความดีความชอบของพวกหัวหน้าส่วยที่ช่วยติดตามช้างหลวงจนสำเร็จ
สมเด็จพระเจ้าอยู่หัวพระที่นั่งสุริยามรินทร์
จึงทรงพระกรุณาโปรดเกล้าฯ ตั้งให้
๑. ตากะจะ
เป็นหลวงแก้วสุวรรณ อยู่บ้านปราสาทที่เหลี่ยมดงลำดวน
๒. เชียงขัน เป็นหลวงปราบ อยู่บ้านปราสาทสี่เหลี่ยมดงลำดวน
๓. เชียงฆะ เป็นหลวงเพชร อยู่บ้านสังขะ
๔. เชียงปุ่ม
เป็นหลวงสุรินทร์ภักดี อยู่บ้านคูปะทายสมัย (จังหวัดสุรินทร์)
๕. เชียงสี เป็นหลวงศรีนครเตา อยู่บ้านหนองกุดหวาย
ให้เป็นหัวหน้าควบคุมพวกเขมรส่วยป่าดงในตำบลบ้านที่ตนอยู่
ทำราชการขึ้นอยู่กับเมืองพิมาย พวกนายกองทั้งห้าคนได้เดินทางกลับบ้านของตนและปฏิบัติราชการตามรับสั่ง
ต่อมาพวกนายกองเหล่านี้ได้นำสัตว์และของป่าต่างๆ
ไปส่งส่วยยังกรุงศรีอยุธยา ของส่วย๖
เหล่านี้ได้แก่ ช้าง ม้า แก่นสน ยางสน ปีกนก นอแรด งาช้าง ขี้ผึ้ง เป็นต้น
จึงทรงพระกรุณาโปรดเกล้าฯ ตั้งให้
หลวงแก้วสุวรรณ (ตากะจะ) เป็นพระไกรภักดีศรีนครลำดวน
ยกบ้านปราสาท สี่เหลี่ยมดงลำดวน (บ้านดวนใหญ่) ขึ้นเป็นเมืองขุขันธ์ ให้พระไกรภักดีศรีนครลำดวนเป็นเจ้าเมือง
หลวงเพชร (เชียงฆะ) เป็นพระสังขะบุรีศรีนครอัจจะ
ยกบ้านโคกอัจจะขึ้นเป็นเมืองสังขะ
หลวงสุรินทร์ภักดี
(เชียงปุ่ม) เป็นพระสุรินทร์ภักดีศรีณรงค์จางวางเจ้าเมืองสุรินทร์ยกบ้านคูปะทายสมันขึ้นเป็นเมืองสุรินทร์
หลวงศรีนครเตา
(เชียงสี) เป็นพระศรีนครเตาเจ้าเมืองรัตนะ
ยกบ้านหนองกุดหวาย (หรือบ้านเมืองเตา) ขึ้นเป็นเมืองรัตนบุรี๗ ให้เมืองเหล่านี้ขึ้นกับเมืองพิมาย
ในสมัยปลายกรุงศรีอยุธยามีเรื่องราวตามพงศาวดารหัวเมืองมณฑลอีสานว่า
กรุงศรีอยุธยาศรีสัตนาคนหุต ล้านช้าง หลวงพระบาง และนครจำปาศักดิ์
ต่างเป็นแคว้นเอกราชและเป็นอิสระไม่ขึ้นแก่กัน
ปรากฏว่าอำนาจปกครองของนครจำปาศักดิ์ครั้งนั้นได้แผ่เข้ามาถึงดินแดนบางส่วนของเมืองทางภาคอีสานหลายเมือง
รวมทั้งเมืองขุขันธ์ด้วย
เมืองนครจำปาศักดิ์แต่เดิมนั้นเป็นแคว้นเอกราช
มีเขตแดนทางตะวันตกเฉียงเหนือมาจนจดเขตแขวงเมืองพิมาย
ซึ่งเป็นชายแดนทางตะวันออกของกรุงศรีอยุธยา มีอาณาเขตแบ่งปันกันที่
ลำห้วยขะยูงและเมืองท่ง
ในเขตจังหวัดร้อยเอ็ดและเมืองรัตนบุรี (อำเภอรัตนบุรี
จังหวัดสุรินทร์) ก็เคยเป็นเมืองที่อยู่ในเขตแขวงของแคว้นนครจำปาศักดิ์มาก่อน
เมืองนครจำปาศักดิ์ได้เป็นประเทศราชของไทยเมื่อ
พ.ศ. ๒๓๒๑ สมัยกรุงธนบุรี จนถึง พ.ศ. ๒๔๔๖
ไทยจึงได้เสียดินแดนฝั่งขวาของแม่น้ำโขงตรงกันข้ามปากเซ
อันมีเมืองนครจำปาศักดิ์และมะโนไพร ซึ่งเป็นเมืองขึ้นกับขุขันธ์ให้แก่ฝรั่งเศส
(๒) (๓) (๔) ราชบัณฑิตสถาน,อักขรานุกรมภูมิศาสตร์ไทย
เล่ม ๓ (พระนคร : โรงพิมพ์พระจันทร์,
๒๕๐๗ น. ๑๔๖๘)
๕ หลักฐานเอกสารตรงกัน ๓ เล่ม คือ
๑. อมรวงศ์วิจิตร,หม่อม (ม.ร.ว. ปฐม คเนจร),น.๑๙๗ ๒. ราชบัณฑิตยสถาน. อักขรานุกรมภูมิศาสตร์ไทย เล่ม ๓ น.๑๔๖๘ ๓.ประชุมพงศาวดาร ภาค
๔ ของหอสมุด วชิรญาณ (พระนคร : รพ.ส่วนท้องถิ่น ๒๕๐๖) น. ๔๐-๑
ดังนี้
ส่วย แปลว่าของที่เรียกเก็บจากพื้นเมืองส่งเป็นภาคหลวงตามวิธีเรียกเก็บภาษีอากรในสมัยโบราณ
(หน้า
๘๘) ส่วย
แปลว่าชนชาติพูดภาษาตระกูลมอญเขมรพวกหนึ่งอยู่ทางภาคอีสาน (หน้า
๘๘๒)
๗ ราชบัณฑิตยสถาน.อักขรานุกรมภูมิศาสตร์ไทย
เล่ม ๓
หน้า ๑๔๖๙ และ อมรวงศ์วิจิตร,
หม่อม. "พงศาวดารหัวเมืองมณฑลอีสาน"
ประชุมพงศาวดาร เล่ม ๓ หน้า ๑๙๙
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น